

ธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) ดำเนินงานภายใต้บริษัท อาร์เอส มอลล์ จำกัด และบริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด โดยมีผลิตภัณฑ์หลากหลายทั้งผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม (Health & Beauty Products) ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัวและผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Home & Lifestyle Products) และเครื่องประดับ โดยผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care) ภายใต้แบรนด์ “มาจีค” (Magique) ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม (Hair Care) ภายใต้แบรนด์ “รีไวฟ์” (Revive) และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Food Supplement) ภายใต้แบรนด์ “เอส.โอ.เอ็ม.” (S.O.M.) ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยและผู้ผลิตสินค้ามาตรฐานสากลทั้งในและต่างประเทศ ผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ตอบโจทย์ลูกค้า อีกทั้ง ได้ร่วมมือกับพันธมิตรซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรง ทำให้มีสินค้าขายผ่านช่องทางการขายของธุรกิจพาณิชย์ รวมทั้งสิ้นกว่า 100 รายการ โดยการจัดหาสินค้าจะมาจากข้อมูลวิจัยโดยห้องวิจัยและทดลองชั้นนำที่บริษัทฯ ทำงานร่วมกัน รวมถึงการเก็บข้อมูลจากลูกค้าโดยตรง ซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงเทรนด์และความต้องการของสภาพตลาดโดยรวมและความต้องการของผู้บริโภคก่อนที่จะพัฒนาสินค้าแต่ละประเภท โดยทั้งก่อนและระหว่างการจำหน่ายสินค้าแต่ละประเภท จะมีการสุ่มตรวจสอบคุณภาพสินค้า โดยนำส่งส่วนประกอบเพื่อการตรวจสอบกับห้องวิจัยอย่างสม่ำเสมอ หากเป็นสินค้าของพันธมิตร จะมีการสุ่มตรวจทั้งก่อนนำส่งเข้าคลัง และในระหว่างที่ออกจากคลังไปถึงมือผู้บริโภค
ช่องทางการขายหลายช่องทางที่บริษัทฯ มีการพัฒนาและเสริมความหลากหลายอย่างต่อเนื่องภายใต้แบรนด์ “อาร์เอส มอลล์ (RS Mall)” ผ่านช่องทางสื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์ของบริษัทฯ ได้แก่ 1) สื่อออฟไลน์ที่บริษัทฯ เป็นเจ้าของทั้งช่อง 8 ช่องทีวีดาวเทียม และสื่อวิทยุผ่านคลื่น COOLfahrenheit รวมถึงการขยายไปยังช่องทีวีดิจิทัลซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัทฯ อีก 2 ช่อง ได้แก่ ไทยรัฐทีวี และเวิร์คพอยท์ ที่สามารถเข้าถึงผู้ชมได้กว่า 30 ล้านคนต่อวัน 2) สื่อออนไลน์บนแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ได้แก่ www.rsmall.co.th และ LINE SHOP ผ่าน @RS Mall ซึ่งมีผู้ติดตาม (Followers) รวมกันกว่า 500,000 บัญชี และในระหว่างปี บริษัทฯ ได้ทำข้อตกลงทางการค้ากับแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำอื่นๆ ในประเทศเพื่อนำเสนอสินค้าผ่านช่องทางเหล่านี้ เช่น Shopee และ Lazada รวมถึง 3) จำหน่ายผลิตภัณฑ์ในร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) กว่า 600 แห่งทั่วประเทศ
การขายผ่านช่องทางต่างๆ นั้น (ยกเว้นการวางสินค้าผ่านร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านจำหน่ายเวชสำอาง) หากลูกค้ามีความประสงค์ที่จะซื้อสินค้าและบริการ สามารถติดต่อสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านระบบคอลเซ็นเตอร์ โดยบริษัทฯ พัฒนาระบบเทเลมาร์เก็ตติ้งอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับจำนวนฐานลูกค้าที่เติบโตสูงขึ้นกว่า 1.3 ล้านราย สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้ตรงตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างแม่นยำ รวมถึงพัฒนาทักษะและความสามารถของทีมเทเลมาร์เก็ตติ้งที่โทรออก (Outbound Call Center) ให้สามารถนำเสนอสินค้าได้ตอบโจทย์ของลูกค้า และปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพิ่มทีมระบบหลังการขาย (Customer Relationship Management (CRM)) เพื่อดูแลลูกค้าคนสำคัญระดับวีไอพี สร้างความพึงพอใจ และรักษาฐานลูกค้าให้มีความภักดีต่อแบรนด์ RS Mall และเพิ่มจำนวนการซื้อซ้ำให้สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมการขายและการตลาดตลอดทั้งปี เช่น “Shop1781 Mid Year Super Sales” และ “RS Mall New Year Celebration 2020” เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า ทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าที่อยู่บนฐานข้อมูลของบริษัทซึ่งเติบโตขึ้นเท่ากับ 1.3 ล้านราย ณ สิ้นปี 2562
บริษัทฯ ได้จัดจ้างบริษัทภายนอกในการส่งสินค้าแก่ลูกค้า สำหรับลูกค้าในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะได้รับสินค้าภายในวันถัดจากวันที่สั่งซื้อสินค้าและบริการ และลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัด จะได้รับสินค้าภายใน 1-5 วัน และการชำระเงินกว่าร้อยละ 99 เป็นการเก็บเงินสดปลายทางจากลูกค้า
การตลาดและการแข่งขัน
ตลาดค้าปลีกของไทยมีขนาดตลาด 4-5 ล้านล้านบาท มีอัตราการเติบโตในอัตราที่ค่อนข้างสม่ำเสมอที่ประมาณร้อยละ 5 ต่อปี แต่ในปี 2562 อัตราการเติบโตต่ำลงอยู่ในระดับร้อยละ 3.1 และคาดว่าในปี 2563 คาดเติบโตอยู่ในระดับร้อยละ 2.7-3.0 อย่างไรก็ตาม ตลาด E-Commerce ที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อปานกลางถึงบน ยังคงมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าตลาดค้าปลีกแบบอื่น และจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น และมีอัตราการเติบโตสูงในระดับเกินกว่าร้อยละ 20 ต่อปี โดยเฉพาะในไทยมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในระดับภูมิภาคอาเซียน ณ สิ้นปี 2562 รายได้กว่าร้อยละ 90 ของธุรกิจพาณิชย์ของอาร์เอส เป็นการโฆษณาและจัดจำหน่ายผ่านสื่อออฟไลน์ของบริษัทฯ หากพิจารณาในแง่การแข่งขัน ถือได้ว่า บริษัทฯ ไม่มีคู่แข่งโดยตรง จากพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าผ่านช่องทางดังกล่าว ซึ่งเกิดจากความพึงพอใจและการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ จากคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ราคา รวมถึงการจัดทำโปรโมชั่น ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในขณะนั้นๆ อีกทั้งกลุ่มผู้ชม ผู้ฟัง รวมถึงแฟนเพลง และแฟนรายการที่เข้าถึงสื่อของบริษัทฯ ก็มีความแตกต่างจากสื่อของบริษัทอื่น ณ ช่วงเวลาเดียวกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ตลาด Online Shopping จะเข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคมากขึ้น แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่าผู้บริโภคก็ยังมีการเลือกซื้อสินค้าผ่านทั้ง ช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและอารมณ์หรือความต้องการ ณ ขณะนั้น (Emotional) อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการค้าปลีกต้องสร้างความแตกต่างให้กับสินค้า พร้อมกับการบริการที่สร้างความประทับใจ หรือสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าในแต่ละราย (Customized Experience) มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวเร็ว เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายที่พยายามมองหาประสบการณ์หรือสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ เพื่อให้เกิดการกลับมาซื้อซ้ำ และยังอาจเกิดการบอกเล่าหรือการแชร์ข้อมูลหรือประสบการณ์ที่ได้รับจนเกิดเป็นลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ โดยการคาดการณ์นี้ สอดคล้องกับวิธีการขยายธุรกิจพาณิชย์ของบริษัทฯ ดังจะเห็นได้ว่า ในปี 2562 นอกเหนือจากการโฆษณาและขายผ่านช่องทางสื่อของบริษัทฯ ที่มีอัตราการเติบโตสูงจากผลของการวิเคราะห์ข้อมูลและความต้องการของลูกค้าอย่างใกล้ชิด และมีทีมเทเลมาร์เก็ตติ้งที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแล้วนั้น บริษัทฯ ยังได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ๆ ทั้งช่องทางออนไลน์ และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ อีกทั้ง บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพัฒนาช่องทางการขายผ่าน Application COOLISM ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของ COOLfarenheit ที่ให้ผู้ฟังรับฟังเพลงออนไลน์ที่มี Active User เกือบ 2 ล้านราย ถือได้ว่าเป็นช่องทางใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2563 ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค ณ ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
การจัดหาผลิตภัณฑ์หรือบริการ
บริษัทฯ ร่วมมือกับสถาบันวิจัยนานาชาติเป็นผู้คิดค้นส่วนผสมที่สำคัญในแต่ละผลิตภัณฑ์ เมื่อได้ส่วนผสมหรือสารสกัดที่สำคัญแล้วจะนำมาผลิตโดยผู้ผลิตชั้นนำระดับประเทศ และบางส่วนเกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรซึ่งเป็นผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ นำผลิตภัณฑ์มาโฆษณาและจำหน่ายผ่านช่องทางการขายของบริษัทฯ